วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556

WORLD BIKE ZONE
ขาย ELECTRA GLIDE 2007 แต่ง ULTRA (การ์ดหน้า , ลำโพงหลัง) ท่อแต่ง BUB พร้อมกล่องแต่ง Dynojet Power Commander
ชิวแต่ง ชุดครอบแต่ง พร้อมสรรพสามิต ราคา 620,000 บาท รถจอดอยู่ WORLD BIKE ZONE
สนใจสอบถาม 081-551-3100 ป่อง , 089-191-5835 ปอ[/color]



























เนื้อหาและภาพจาก http://hd-playground.com/smf/index.php?topic=37911.0
ขาย ROADKING SCREAMING 100ปี ราคา 670,000 รถสวย วิ่งน้อย ใช้งานดี
ที่ PHD@RCA โซนA พระราม 9 ติดต่อ ป๊อก 081-4438706






















เนื้อหาและภาพจาก http://hd-playground.com/smf/index.php?topic=37911.0

ฮาเล่ย์ เดวิดสัน One Day With CEO 4/6

ฅ-คนรักรถ_นานาพีเค_Custom bike


10 อันดับมอเตอร์ไซค์ที่มีราคาแพงที่สุดในโลกของปี 2012


10. Neiman Marcus Limited Edition Fighter



ประเดิมคันแรกกันที่มอเตอร์ไซค์ซึ่งเกิดจากความร่วมมือกันของบรรดาบริษัทยานยนต์ ชื่อของมันคือ “Neiman Marcus Limited Edition Fighter” เป็น 2 ล้อสุดเท่ที่สร้างจากเหล็กทั้งคัน พร้อมกับรูปลักษณ์ที่แสนจะโดดเด่นไม่ซ้ำใคร กับค่าตัวที่อาจทำให้ใครหลายคนกระเป๋าฉีกได้สบาย เพราะแค่อันดับที่ 10 ราคาก็ปาเข้าไปที่ 110,000 เหรียญ หรือประมาณ 3,275,800 บาท แล้ว



9. Coventry Eagle Flying – 8 (1928)



สำหรับเจ้า 2 ล้อคันต่อมามีชื่อว่า “Coventry Eagle Flying – 8” ผลิตโดย Royal Eagle ใครที่คิดว่าเจ้านี่หน้าตาโบราณ บอกได้เลยว่าไม่แปลก เพราะมันถูกผลิตออกจำหน่ายครั้งแรกตั้งแต่ปี 1928 หรือ 80 กว่าปีมาแล้ว แต่กระนั้นปัจจุบันคุณก็ยังสามารถพบเห็นมันโลดแล่นอยู่บนท้องถนนได้แม้จะไม่บ่อยนัก แถมประวัติศาสตร์ของเจ้า Coventry Eagle ยังถือได้ว่ายิ่งใหญ่ไม่แพ้มอเตอร์ไซค์คันไหนอีกด้วย มีคนดังหลายคนที่มีมันไว้ในครอบครองเป็นไม่ว่าจะเป็น บรูซ สมิธ (Bruce Smith), สตีเวน บรอดบริดจ์ (Stephen Broadbridge), จอห์น เอลลิส (John Ellis) และ เคน ฮอดจ์สัน (Ken Hodgson) ส่วนราคาของมันอยู่ที่ประมาณ 120,000 เหรียญ หรือ 3,573,600 บาท



8. Harley-Davidson Rocker



อันดับ 8 ตกเป็นของ “Harley-Davidson Rocker” จากผู้สร้างขาใหญ่แบรนด์ดังก้องโลก ฮาร์เล่ย์-เดวิดสัน ที่ถูกนำมาปรับแต่งใหม่ตลอดทั้งคันโดยบริษัทปรับแต่งรถชื่อดัง House-of-Thunder ดูจากภาพแล้วแสนจะเข้ากั๊นเข้ากันกับเรือยอร์ชมูลค่า 22 ล้านเหรียญด้านหลัง ขณะที่เจ้า Rocker สีขาวนั้นติดป้ายราคาไว้ที่ 130,000 เหรียญ หรือ 3,871,400 บาท



7. Hildebrand & Wolfmüller



นี่คือมอเตอร์ไซค์เก่าเก็บของแท้เพียงหนึ่งเดียวที่ติดอยู่ในทำเนียบ 10 อันดับสองล้อที่แพงที่สุดในโลก กับอายุที่มากถึง 115 ปี มันคือสุดยอดความพิเศษหนึ่งเดียวจาก Hildebrand & Wolfmüller ต้นกำเนิดที่ทำให้รถ 2 ล้อที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ได้รับการขนานนามว่า “มอเตอร์ไซค์” (Motorcycle) เป็นครั้งแรก และแน่นอนว่าด้วยประวัติที่เลอเลิศขนาดนี้ ราคาย่อมต้องเลิศเลอไปด้วยกับมูลค่า 150,000 เหรียญ หรือ 4,467,000 บาท เห็นเก่าๆ แพงๆ อย่างนี้อย่าคิดว่าไม่มีใครสนใจ เพราะความหายากและทรงคุณค่าของมันทำให้บรรดานักสะสมรถในอเมริกายอมทุ่มเงินไม่อั้นเพื่อให้ได้มันมาเป็นส่วนหนึ่งของคอลเล็กชั่นเลยทีเดียว



6.Hub-less Harley-Davidson



คว้ามาได้อีกอันดับสำหรับคัสตอมไบค์สีเขียวสดใสจากค่ายฮาร์เล่ย์ฯ ที่ Howards Killer Customs ลงมือปรับแต่งให้มีความโดดเด่นสะดุดตายิ่งขึ้น โดยเฉพาะการติดตั้งล้อแบบ Hub less หรือล้อแบบไม่มีแกน ที่ทำให้เจ้าชอปเปอร์คันนี้ดูแตกต่างจากอันดับอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับราคาที่พุ่งกระฉูดไปถึง 155,000 เหรียญ หรือ 4,620,550 บาท



5. Ecosse FE Ti XX – Titanium Series



"Ecosse FE Ti XX” ไม่ได้มีดีเพียงแค่ราคาแพงแสนแพงถึง 300,000 เหรียญ หรือประมาณ 8,943,000 บาท มากกว่าอันดับ 6 ถึง 2 เท่า เท่านั้น แต่มันยังได้ชื่อว่าเป็นรถที่สวยงามที่สุดคันหนึ่งใน Titanium Series ที่ผลิตโดยบริษัทที่มีชื่อเสียงอย่าง Ecosse Motor Works อีกด้วย โดยมาพร้อมกับขุมพลังที่น่าพิศวงอย่างเครื่องยนต์อะลูมิเนียมที่ให้กำลังถึง 225 แรงม้า ซึ่งตอนนี้ทางผู้ผลิตเปิดให้ผู้สนใจสามารถสั่งจองได้แล้ว ขณะที่ประเทศจีนได้รับเกียรติให้เป็นผู้เปิดประเดิมสินค้าล็อตแรก



4.Legendary British Vintage Black



สำหรับเจ้า 2 ล้อเครื่อง “Legendary British Vintage Black” สามารถครองอันดับที่ 4 ได้เพราะความพิเศษเพียงหนึ่งเดียวและความเป็นรถโบราณในตัวของมันเอง แม้มันจะไม่ใช่รถที่มีความเร็วกมากมายแต่ก็เก่าแก่มากพอที่จะทำให้ค่าตัวของมันสูงถึง 400,000 เหรียญ หรือคิดเป็นเงิน 11,924,000 บาท ทิ้งห่างอันดับ 5 ไปไกลชนิดไม่เห็นฝุ่น



3. Gold-Plated Custom Chopper



เปล่งประกายแวววาวพราวระยับเลยทีเดียว สำหรับอันดับ 3 “Gold-Plated Custom Chopper” ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในงาน International Motorcycle Show เมืองซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน ที่ให้ภาพลักษณ์ความเป็น “มอเตอร์ไซค์โชว์” มากกว่ามอเตอร์ไซค์ที่ขี่เล่นทั่วไปด้วยการชุบทองส่วนที่เป็นโลหะทั้งหมด กับสนนราคา 500,000 เหรียญ หรือราว 14,905,000 บาท แต่เชื่อเถอะว่าหากคุณเป็นเจ้าของก็คงไม่อยากเอาเจ้า “ทองติดล้อ” คันนี้ไปออกไปซิ่งเท่าไหร่หรอก เพราะถ้าหายขึ้นมาคงได้นั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่าแน่ๆ



2. Ultra-rare Porcupine



มาที่อันดับ 2 กันบ้าง กับอีกหนึ่งในบรรดามอเตอร์ไซค์ที่ “โคตรหายาก” อย่าง “Ultra-rare Porcupine”สองล้อสัญชาติอังกฤษที่ทาง AJS ผลิตขึ้นตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2โดยเจ้าคันที่เห็นอยู่นี้ถูกจัดแสดงอยู่ที่ National Motorcycle Museum ในเมืองโคเวนทรี ตลอดช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา แต่ตอนนี้ทางพิพิธภัณฑ์กลับปล่อยขายแล้วด้วยค่าตัวราว 750,000 เหรียญ หรือประมาณ 22,357,500 บาท





1. Million Dollar Harley by Jack Armstrong



ในที่สุดก็มาถึงอันดับ 1 ที่ฟังแค่ชื่อก็รู้ว่าแพงแล้วกับเจ้า “Million Dollar Harley” จากค่ายบิ๊กเบิ้ม ฮาร์เล่ย์-เดวิดสัน อีกเช่นเคย แถมยังสามารถคว้าตำแหน่ง “มอเตอร์ไซค์คันแรกที่มีราคาทะลุหลักล้าน” มาครองได้อีกด้วย โดยผู้ที่ออกแบบเจ้ารถ “โคตรแพง” นี้ก็คือ แจ็ค อาร์มสตรอง (Jack Armstrong) ผู้มีชื่อเสียงดังกระฉ่อนจากสไตล์งานเพ้นท์ “Cosmic Extensional” ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว กับราคา 1 ล้านเหรียญ หรือ 29,810,000 บาท เท่านั้นเอง


เนื้อหาและภาพจากhttp://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1344848701

รถบิ๊กไบค์ที่ขายดีที่สุดในปี 2013

อันดับ 10

อันดับที่ 10 ได้แก่ 2013 Zero S ราคา $15,995
บิ๊กไบค์ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีชั้นสูงในแบบไฮบริด ที่ใช้ไฟฟ้าเป็นหลังงานหลักในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์ของ ZERO S เวอร์ชั่น 2013 นั้นเป็นเครื่องยนต์แบบใช้พลังงานสะอาดอย่างไฟฟ้าล้วนๆ ด้วยมันเป็นเครื่องยนต์แบบ Z-Force 75-7 passively air-cooled ที่มีมอเตอร์คอยควบคุมการจ่ายกระแสไฟฟ้าไปสู่การขับเคลื่อน โดยมันสามารถทำความเร็วเฉลี่ยได้อยู่ที่ 129 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และความเร็วสูงสุดที่ทำได้อยู่ที่ 153 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 92 นิวตันเมตร

อันดับ 9


อันดับที่ 9 ได้แก่ 2013 Suzuki SFV 650 ราคา $7999
เท่และแรงเหนือใคร กับดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ที่มาพร้อมกับสมรรถนะเครื่องยนต์ 645CC 4 จังหวะ 2กระบอกสูบ 90 ดีกรี วีทวิน ดีโอเอชซี ระบายความร้อนด้วย Liquid Cooled มีช่วงของการชักกระบอกสูบอยู่ที่ 81มม. x 62.6มม. ในอัตรา 11.5 :1 พร้อมคลัทช์ แบบ WET SUMP และยังมีระบบ Electronics Ignition อีกด้วย ส่วนการส่งระบบเชื้อเพลิงนั้นใช้แบบ Suzuki Fuel Injection

อันดับ 8

อันดับที่ 8 ได้แก่ 2013 Moto Guzzi V7 Racer ราคา $9990
Moto Guzzi V7 Racer มาพร้อมดีไซน์เท่เหนือชั้น และความแรงสูงสุดแบบหยุดไม่อยู่ที่ 57กิโลงวัตต์ต่อ 6200รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุดที่ 58นิวตั้นเมตรต่อ 5000 รอบต่อนาที ใช้ระบบการจ่ายน้ำมันแบบเวเบอร์ มาเรลลี่ อิเล็คทรอนิค Fuel Injection เพิ่มความมันส์ให้คุณด้วยระบบเกียร์ชุด 5 สปีด ที่ให้คุณเร่งความแรงได้แบบไม่เกรงใจใคร

อันดับ 7

อันดับที่ 7 2012 Yamaha Super Tenere ราคา $13,900
ดีไซน์เท่เกินใคร คมบาดใจเหล่าไบค์เกอร์ ต้องยามาฮ่าตัวนี้ ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ DOHC 4 สโตรค 1199 ซีซี เกียร์ 6 สปีด แรงสุดพลังเกินต้านทาน ดีไซน์เท่ โดดเด่น ที่ปรับกระจกหน้ารถและพนักพิงของคนขับขี่ห่อหุ้มด้วยหนังสวยงาม พร้อมลูกสูบอลูมิเนียมและหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ ด้วยถังน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีความจุมากถึง 6 แกลลอน ยามาฮ่าตัวนี้ถูกปรับแต่งให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

อันดับ 6

อันดับที่ 6 ได้แก่ Ducati Monster 696 Anniversary ราคา $8795 (2012 M696)
ดีไซน์เท่เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีเหนือชั้น ตามคอนเซ็ปต์ Less is More นอกจากดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์น่าหลงใหล M696 ยังเป็นรถที่ขับขี่ได้ง่ายด้วยเบาะนั่งสูงเพียง 770 มม. ตัวรถใต้เบาะนั่งเหมาะกับการใช้งานในเมือง หรือชีวิตประจำวัน พลิกพลิ้วในโค้งได้ง่ายไม่ต่างจากรถสปอร์ตยามเมื่อต้องเจอโค้งบนเขา ควบคุมง่ายและเบาแรง เหมาะกับการขับขี่ทุกระดับ

อันดับ 5

อันดับที่ 5 ได้แก่ 2012 Honda NC700X ราคา $6999
Honda NC700X ใช้เครื่องยนต์ที่พัฒนาใหม่เป็นแบบ 2 สูบเรียง SOHC 8 วาล์ว มีความจุกระบอกสูบ 670 ซีซี. ระบายความร้อนด้วยน้ำ จ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีด PGM-FI และมีชุดเพลาบาล้านช์เพื่อช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานนิ่มนวล ให้สุนทรีย์แห่งการขับขี่ที่คุณต้องหลงใหล

อันดับ 4

อันดับที่ 4 ได้แก่ 2013 Harley-Davidson Seventy-Two ราคา $10,699
ถือเป็นรุ่นใหญ่อีกรุ่นของสองล้อดังเมืองลุงแซมเลยก็ว่าได้ โดยมันพกพาความแรงมาพร้อมกับขุมพลังขนาดเครื่องยนต์ 1,202 ซีซี ด้วยเครื่องยนต์แบบ Evolution ระบายความร้อนด้วยอากาศ อัตราการบิดอยู่ที่ 9.7:1 พร้อมระบบควบคุมเชื้อเพลิงแบบ Electronic Sequential Port Fuel Injection หรือ ESPFI ทั้งยังมาพร้อมกับระบบเกียร์ 6 สปีดให้คุณได้บิดกันอย่างเมามันส์

อันดับ 3

อันดับที่ 3 ได้แก่ 2013 Victory Judge ราคา $13,999
มาพร้อมความเท่ในคราบโครเมี่ยม พร้อมท่อแฝดแบบทวินคู่ด้านข้าง และดีไซน์เรียบล้ำสไตล์ พร้อมเครื่องยนต์ที่จัดเรียงมาแบบเต็มแม็กซ์ ให้คุณดูเท่สมบูรณ์แบบทุกจังหวะแห่งการขับขี่ นอกจากนี้ยังมีไฟหน้าทรงกลม ที่ดีไซน์ล้ำยุค และล้อแม็กซ์แบบ 5 ก้าน เวลาจอดโชว์ก็เท่ เวลาขับก็ยิ่งเท่ไปใหญ่ มิน่าถึงได้ฮอตฮิตอันดับต้นๆ ของบิ๊กไบค์ขายดีที่เหล่าไบค์เกอร์ทั้งหลายปรารถนา

อันดับ 2

อันดับที่ 2 ได้แก่ 2013 BMW S1000RR HP4 ราคา $19,990
มาพร้อมกับระบบ Dynamic Damping Control ควบคุมด้วยไฟฟ้า และระบบปรับแรงบิด Launch Control เป็นครั้งแรกของตระกูล HP ขณะเดียวกันมอเตอร์ไซค์สุดสปอร์ตรุ่นนี้มีน้ำหนักตัวเพียง 169 กก. ถือว่าเบาที่สุดในระดับเดียวกัน และถ้าเติมน้ำมันอยู่ที่ 90% ของถังเชื้อเพลิง ตัวรถก็จะมีน้ำหนักที่ 199 กก.เท่านั้น ด้วยการใช้เทคโนโลยีชั้นสูงอย่างล้อฟอร์จ ท่อไอเสียไทเทเนี่ยม และตัวโครงเฟืองน้ำหนักเบา

อันดับ 1

อันดับที่ 1 ได้แก่ 2013 KAWASAKI NINJA 300 ราคา $4799
มิติใหม่ของการซิ่งสไตล์นินจาที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 269CC ที่มีน้ำหนักเบา เมื่อเทียบกับสปอร์ตไบค์อื่นๆ ใช้ระบบน้ำมันเชื้อเพลิงแบบดิจิตอล ดีเอฟไอ 32 มม. และปรับแต่งระบบคลัทช์ใหม่ ให้ง่ายต่อการปรับใช้ และเท่ด้วยด้วยล้อ 17 นิ้ว 10ก้าน ที่ให้ทรงดูพริ้วทุกการหมุน และที่นั่งที่ให้คุณเหยียบถึงพื้นแบบง่ายๆ ด้วยความสูง 30.9 นิ้ว ได้ฟีลความเท่เหลือล้น และพร้อมให้คุณโชว์พลังได้อย่างเต็มที่

เนื้อหาและภาพจากhttp://auto.sanook.com/5652/10-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B9%8A%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B8%B5-2013/








(1) ภาพแนวกระดูกสันหลัง ในการขี่รถประเภทต่างๆ

(2) ท่านั่งที่ผิด จะทำให้กระดูกสันหลังอยู่ในลักษณะผิดรูป สร้างความเมื่อยล้าในการขับขี่

(3) เมื่อรู้สึกเกร็ง,เมื่อยไหล่ ควรผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวโดยปล่อยน้ำหนักลงตามแนวดิ่ง

(4) ตำแหน่งของแขนที่ดี เมื่อวางบนแฮนแล้วควรมีลักษณะโค้งและผ่อนคลาย

(5) แขนตึง จะทำให้เลี้ยวและคุมคันเร่งได้ยาก

(67)แขนโก่ง จะทำให้เกิดความเมื่อยล้าจากการขับขี่อย่างรวดเร็ว

(7) ลักษณะการจับแบบ V-Grip ที่ใช้อย่างแพร่หลายในกีฬาประเภทต่างๆ

(8) การจับแบบกำหมัด จะทำให้ข้อมือถูกล็อคจนไม่สามารถใช้คันเร่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

(9) ข้อมือไม่ควรหักงอมาก เพราะมีผลต่อการใช้คันเร่งเช่นกัน

(10) ขาควรแนบถังไว้เสมอ เพราะเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมรถ

(11) การวางเท้า เป็นอีกจุดหนึ่งที่สำคัญแต่หลายคนมองข้าม





คุณลองขยับเก้าอี้ทำงานจากตำแหน่งปกติของมันไปซักคืบ แล้วดูซิว่าคุณรู้สึกยังไง? บางคนอาจทนได้แต่คุณก็ทำงานได้ไม่ถนัดเหมือนปกติ ในขณะที่บางคนอาจถึงขนาดทำงานไม่ได้เลย นั่นแสดงให้เห็นว่าท่านั่งที่ถูกต้องและเหมาะสมกับตัวคุณจะทำให้คุณรู้สึกอิสระ, คล่องตัว และสามารถใช้ร่างกายได้อย่างที่ต้องการ

เช่นเดียวกันกับท่านั่งในการขี่มอเตอร์ไซค์ ที่อาจฟังเหมือนเป็นเรื่องเล็กๆ พื้นๆ ซึ่งหลายคนไม่ได้ให้ความสนใจ แต่จริงๆแล้วมันมีส่วนสำคัญในการที่จะทำให้เราควบคุมรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งป้องกันความเมื่อยล้าอันเกิดจากการขับขี่ทางไกลอีกด้วย เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเราไปดูกันทีละข้อเลยแล้วกัน

1. หลัง

จะเห็นว่าโดยปกติกระดูกสันหลังของคนเราจะเป็นรูปคล้ายตัวเอส (S) ซึ่งนั่นคือตำแหน่งที่ดีที่สุดที่กระดูกจะทำหน้าที่รับน้ำหนักตัว อันเป็นท่านั่งที่ถูกต้องทำให้เราไม่เมื่อยล้า ในการขี่มอเตอร์ไซค์ก็จะใช้หลักการเดียวกันคือพยายามรักษารูปทรงตัวเอสไว้ แต่เนื่องจากรถมอเตอร์ไซค์มีหลายประเภทท่านั่งจึงอาจมีความแตกต่างกันไปบ้างตามวัตถุประสงค์ของรถ สังเกตได้จาก ภาพที่(1) แต่อย่างไรก็ตามจะเห็นว่าลักษณะของกระดูกสันหลังยังคงเป็นรูปตัวเอสดังที่กล่าวมาข้างต้น

ถ้าหลังอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้องจะทำให้เกิดความเมื่อยล้าได้เร็ว อันจะเป็นการสร้างความเครียดในการขี่โดยเฉพาะในการขี่เพื่อเดินทางไกล อีกทั้งยังทำให้บังคับรถได้ไม่คล่องตัวอีกด้วย ที่พบเห็นกันบ่อยๆ คือ

หลังแอ่น: ทำให้เมื่อยช่วงเอวเหนือสะโพก และบังคับรถยากเพราะตัวอยู่ห่างจากรถโดยเฉพาะที่ความเร็วสูง (เพราะต้านลม) อีกทั้งยังส่งผลกระทบไปถึงแขนที่จะอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้องอีกด้วย

หลังโก่ง: ทำให้เมื่อยช่วงบ่า, หัวไหล่ และปีก (หลังส่วนบน) ซึ่งจะล้าได้เร็วกว่าแบบแรก อีกทั้งยังมีส่วนทำให้ศรีษะก้มต่ำกว่าตำแหน่งปกติ จึงมีทัศนวิสัยในการมองเห็นต่ำอีกด้วย

2. ไหล่

จริงๆแล้วข้อนี้ดูไม่น่าจะมีรายละเอียดอะไรมากเพราะด้วยท่านั่งในการขี่มอเตอร์ไซค์ทำให้ไหล่ขยับได้น้อย แต่เวลาเกิดอาการปวดเมื่อยจากการขับขี่ ไหล่จะอยู่ในอันดับต้นๆทีเดียว ซึ่งปัญหานี้มักจะเกิดกับผู้ขี่ที่วางแขนอยู่ในลักษณะตึงเกินไป และพบบ่อยในผู้ที่ขี่รถสปอร์ต เนื่องจากจะต้องอยู่ในตำแหน่งที่โน้มตัวไปข้างหน้า โดยเฉพาะที่ความเร็วสูงเพื่อก้มหลบลมและบังคับรถ ทำให้หลายคนเกร็งแล้วยกไหล่ขึ้นและอาจห่อไหล่เข้าหากันโดยไม่รู้ตัว (เครียดจากความเร็ว)

วิธีแก้เมื่อรู้สึกเกร็งบริเวณไหล่คือ หายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับยกไหล่ขึ้นให้สุด เสร็จแล้วหายใจออกพร้อมทิ้งหัวไหล่ปล่อยลงในตำแหน่งปกติ แล้วย้ายความรู้สึกไปที่หลังบริเวณเอวซึ่งเป็นจุดที่ใช้รับน้ำหนักตัว ดังเช่น ภาพที่(3)

ส่วนวิธีป้องกันคือ เวลาขี่ควรให้ไหล่อยู่ในตำแหน่งปกติ ปล่อยน้ำหนักลงตามสบาย (เหมือนเวลาคุณนั่งเก้าอี้) อย่าทิ้งน้ำหนักมาที่แขนหรือบริเวณบ่า และที่สำคัญ “อย่าขี่เร็ว” อย่างที่เขียนไว้ข้างบนว่าการที่เราตั้งไหล่ขึ้นหรือห่อไหล่เข้าหากัน เป็นเพราะเครียดจากความเร็ว ลองถามตัวเองดูซิว่า... จะรีบไปไหน?? จุดหมายมันไม่ได้วิ่งหนีคุณอยู่นะ มันก็อยู่ที่เดิมของมันนั่นแหละ ค่อยๆขี่ไปเรื่อยๆ ในความเร็วที่เหมาะสมกับตัวคุณเอง มันก็ถึงเหมือนกัน... คุณว่ามั๊ย?

3. แขน

แขน เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในการควบคุมรถ โดยในความเร็วต่ำแขนจะทำหน้าที่ในการเลี้ยวรถ ส่วนในความเร็วสูงจะทำหน้าที่เหมือนกันสะบัด คือควบคุมช่วงหน้ารถให้นิ่ง และช่วยลดอาการ “ชกมวย” เมื่อล้อหน้าลอยจากพื้น โดยจะทำหน้าที่ซับแรงสะบัด (ชกมวย) จากแฮนด์ที่จะส่งไปถึงตัวผู้ขี่ไม่ให้ถูกดีดลอยออกจากรถ ...ในการขับขี่ทั่วไปแขนควรจะอยู่ในลักษณะผ่อนคลาย ไม่เกร็ง โดยผู้ขี่วางมือลงบนแฮนด์และปล่อยน้ำหนักของแขนลงที่มือ (ไม่ใช่ออกแรง “กด” ) งอข้อศอกออกด้านข้างเล็กน้อยเพื่อไม่ให้แขนตึง แขนจะมีลักษณะโค้งเมื่อมองจากด้านบนดังภาพที่(4) เมื่อทำมาถึงจุดย้ำกับตัวเองอีกครั้งว่า “อย่าเกร็ง”

ลักษณะของแขนที่ผิดมีให้เห็นบ่อยครั้งและมีผลต่อการบังคับควบคุมรถ โดยบางคนอาจไม่รู้ตัว บางคนไม่เห็นความสำคัญของตำแหน่งที่ถูกต้องและอาจคิดว่า “ก็ตูขี่อย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร ไม่เห็นเป็นไรนี่หว่า...” งั้นเรามาลองดูกันว่าลักษณะที่ผิดมีอะไรบ้างและจะเกิดผลเสียอย่างไร

3.1 แขนตึง (ภาพที่(5))
อันนี้เห็นบ่อยที่สุดสาเหตุอาจเป็นเพราะนั่งหลังแอ่น หรือ ทิ้งน้ำหนักตัวมาที่มือมากเกินไป หรือ มีช่วงแขนสั้น ฯลฯ ซึ่งจะมีผลเสียตามมาหลายประการคือ

- เลี้ยวยาก : โดยเฉพาะในความเร็วต่ำ เพราะเมื่อแขนตึงก็เหมือนกับแขนถูกล็อกทำให้หักแฮนด์เลี้ยวได้น้อยและรู้สึกฝืนๆ วงเลี้ยวจึงกว้างแม้ในความเร็วต่ำ

- คุมคันเร่งและเบรกลำบาก : เมื่อแขนตึงน้ำหนักจะถูกกดลงมาที่ฝ่ามือ ทำให้ข้อมือถูกล็อคไม่สามารถขยับได้เหมือนปกติการควบคุมคันเร่งและเบรกจึงทำได้ยาก

.- เมื่อรถสะบัด... มีสิทธิ์กระเด็น !!! : สมมุติว่ารถมีอาการสะบัดหรือดีดที่ล้อหน้า (เช่น เมื่อตกหลุมหรือกระแทกวัตถุบนพื้นถนนที่ความเร็วสูง) แขนที่เหยียดตึงก็ไม่ต่างอะไรจากท่อนไม้ที่ต่อจากแฮนด์ตรงมายังตัวผู้ขี่ ดังนั้น แรงดีดดังกล่าวจึงถูกส่งมาถึงตัวคุณ 100%!!! แล้ววินาทีต่อจากนั้น... “เหินฟ้า” สิคับทั่น

- ปวดข้อมือ : อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าเมื่อแขนตึงน้ำหนักจะถูกกดลงไปที่ฝ่ามือ นั่นหมายความว่าน้ำหนักตัวช่วงบนจะมารวมอยู่ที่บริเวณข้อมือ ทำให้รู้สึกปวดเมื่อยหากต้องขี่รถเป็นเวลานาน

- ปวดหลัง : เมื่อแขนเหยียดตึงทำให้หลังมีลักษณะ”แอ่น”ตามไปด้วย (ก้มไม่ได้เพราะแขนค้ำอยู่) ข้อนี้จะเห็นผลชัดมากในผู้ขี่ที่ตัวสูง หรือแขนยาว

3.2 แขนโก่ง (ภาพที่(6))
อันนี้มีให้เห็นบ้าง โดยส่วนใหญ่จะเป็นคนขี่มือใหม่ที่ยังหาท่าที่เหมาะกับตัวเองไม่ได้หรืออาจเป็นเพราะยังเกร็งอยู่ แต่ส่วนใหญ่อาการนี้จะหายไปเองเพราะทนเมื่อยไม่ไหว ซึ่งเป็นข้อเสียเพียงอย่างเดียวของท่านี้ โดยอาการเมื่อยที่ว่าจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ขี่ (อย่างต่อเนื่อง) ถ้าขี่ในเมืองเล็กๆน้อยๆ อาจไม่ค่อยรู้สึก แต่ถ้าขี่เดินทางไกลจะรู้สึกเมื่อยล้าอย่างชัดเจน ซึ่งหากเป็นมากอาการเมื่อยล้าจะลามไปถึงหัวไหล่และบ่า

4. มือ-ข้อมือ

มือ - เป็นส่วนสำคัญในการคุมความเร็วของรถ โดยเฉพาะมือขวาเพราะต้องคุมทั้งคันเร่งและเบรกหน้า (ซึ่งเป็นเบรกหลัก) ดังนั้นการวางตำแหน่งมือที่ดีจะทำให้เราสามารถควบคุมความเร็วของรถได้อย่างต้องการ ในทุกสถานการณ์

การวางตำแหน่งมือที่ดีจะทำให้สามารถจับแฮนด็ได้อย่างกระชับ ไม่เกร็ง และสามารถขยับข้อมือได้อย่างอิสระ โดยรูปแบบที่นิยมใช้ทั่วไปคือการจับแบบ V-Grip คือนิ้วโป้งกับนิ้วชี้จะมีลักษณะเหมือนตัว V โดยที่มีแฮนด์อยู่กึ่งกลาง (ภาพที่(7)) ซึ่งการจับแบบนี้จะเป็นแบบเดียวกับที่เราใช้ในการจับแร็กเก็ตต่างๆ เช่นไม้เทนนิส, ไม้แบดฯ, ไม้ปิงปอง, ฯลฯ หรือแม้กระทั่งไม้กอล์ฟ โดยในตำแหน่งนี้จะทำให้ข้อมือสามารถขยับ, หมุน หรือบิดได้ดีที่สุด และเป็นตำแหน่งที่นิ้วอยู่ใกล้กับก้านเบรก, ก้านคลัทช์มากที่สุดด้วย

ลักษณะการวางมือที่ผิดเห็นได้ชัดคือ การกำแฮนด์เหมือนกำหมัด ดังในภาพที่(8) ลักษณะนี้ข้อมือจะถูกล็อคทำให้ขยับไม่สะดวก (ขยับได้ในมุมจำกัด) และยังมีผลให้ออกแรงกำแฮนด์มากเกินไปจึงเกิดความเมื่อยล้าบริเวณฝ่ามือ การกำแบบนี้จึงเหมาะสำหรับการยกของหรือการชกมากกว่า


ข้อมือ - เมื่อวางมือลงบนแฮนด์แล้วข้อมือควรอยู่ในลักษณะที่งอเพียงเล็กน้อยเพราะถ้าหากอยู่ในลักษณะหักงอมากดังในภาพที่(9) จะทำให้คุณไม่สามารถใช้คันเร่งได้ และจะรับภาระอย่างมากเมื่อเกิดการเบรก เพราะน้ำหนักที่ถ่ายมาด้านหน้ามาลงที่บริเวณข้อมือ ทำให้เกิดความเมื่อยล้าได้เช่นกัน

5. ขา-เท้า

.ขาและเท้ามีความสำคัญมากในการควบคุมรถไม่ว่าจะเป็นการเบรก การทรงตัว และโดยเฉพาะการเลี้ยว เพราะเมื่อรถวิ่งคุณจะไม่สามารถหักแฮนด์เพื่อเลี้ยวได้เหมือนเวลารถจอดอยู่เฉยๆ หรือที่ความเร็วต่ำมากๆ ซึ่งการเลี้ยวดังกล่าวจะต้องใช้การถ่ายน้ำหนักเป็นตัวช่วยเพื่อดึงรถให้เข้ามาในเส้นทางที่เราต้องการ ขาและเท้าจึงต้องทำหน้าที่ในการล็อคตัวผู้ขี่ให้อยู่กับรถและเพื่อการถ่ายน้ำหนัก คราวนี้เรามาดูในแต่ละจุดว่ามีอะไรบ้าง ..........

ขาหนีบถัง
ตำแหน่งที่ถูกต้องของขาควรจะอยู่แนบชิดกับถังน้ำมัน (แต่ไม่ถึงขนาดเกร็งหรือหนีบตลอดเวลา) เพราะเป็นจุดที่ขาสามารถล็อคกับตัวรถได้ดีที่สุด เพื่อความกระชับ, มั่นคงพร้อมสำหรับหรับการควบคุมรถในสถานการณ์ต่างๆ เช่น

• เมื่อเบรก – ผู้ขี่ต้องออกแรงหนีบถัง เพื่อล็อคไม่ให้ตัวไถลไปข้างหน้าอันจะเป็นการสร้างภาระให้แขนและมือ ซึ่งจะมีผลต่อกับบังคับทิศทางของรถในขณะเบรก สังเกตุในภาพผู้ขี่เบรกหน้าอย่างแรงจนล้อหลังลอยแต่น้ำหนักไม่ได้อยู่ที่แขนเลย (แขนงอปกติ) เพราะใช้ขาหนีบถังล็อคตัวไว้นั่นเอง

• เมื่อเข้าโค้งความเร็วต่ำ - ขาที่หนีบถังโดยเฉพาะด้านนอกของโค้งจะช่วยให้ผู้ขี่สามารถคุมการเอียงของรถได้อย่างมั่นใจ โดยปล่อยให้แขนและมือเป็นตัวควบคุมทิศทางและความเร็วของรถ

• เมื่อเข้าโค้งความเร็วสูง – ขาที่หนีบถังจะล็อคตัวผู้ขี่ให้มั่นคงในตำแหน่งที่ต้องการ และในกรณีการโหนรถ (Hang On) ผู้ขี่จะใช้ขาด้านนอกเพื่อเกี่ยวตัวขณะโหนรถ ตำแหน่งขาที่กระชับจะทำให้คุณโหนได้แบบ ชะนีเรียกพี่เลยหล่ะ

**ลักษณะการวางขาที่ผิดที่เห็นประจำ**
คือ ขาแบะออกจากตัวรถ ลักษณะดังกล่าวนี้จะทำให้คุณไม่สามารถใช้ลำตัวช่วงล่าง (ตั้งแต่เอวถึงข้อเท้า) ในการควบคุมรถได้เลย ดังนั้นภาระในการควบคุมรถเกือบทั้งหมดจะตกไปสู่แขนและมือทันที นี่แหละคือสาเหตุที่ว่า เวลาขี่รถบนเขาหรือถนนที่มีโค้งเยอะๆ ติดๆกัน แล้วคุณปวดมือ ปวดแขน และที่เด็ดกว่านั้นเวลาที่รถตกหลุมหรือล้อกระแทกวัตถุใดๆบนพื้นถนนโดยที่คุณไม่ได้ตั้งตัว น้องชายและบริวารทั้งสองของคุณจะกระแทกเข้ากับถังน้ำมันแบบ”เน้นๆ”...อูยยยยส์.... พระเจ้ายอด มันจอร์จมาก!!!!

เท้าวางบนพักเท้า
ตำแหน่งที่ถูกต้องควรวางกึ่งกลางเท้าบนพักเท้า โดยให้ส่วนปลายของเท้าวางอยู่บนคันเกียร์ (ข้างซ้าย) และคันเบรก (ข้างขวา) และปลายเท้าทั้ง 2 ข้างชี้ไปด้านหน้ารถ ซึ่งหากมองจากด้านข้างจะเห็นว่าข้อเท้าจะทำมุมประมาณ 90 องศา อันเป็นลักษณะเดียวกับเวลาเรายืนปกติ.... การวางเท้าในตำแหน่งที่ถูกต้องจะช่วยให้เราสามารถถ่ายน้ำหนักตัวเวลาเข้าโค้งได้อย่างรวดเร็ว เปลี่ยนเกียร์และใช้เบรกหลังได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

**ลักษณะการวางเท้าที่ผิด**
นี่ก็มีให้เห็นประจำเหมือนกัน อาจะเป็นเพราะผู้ขี่ไม่ได้คิดว่าจะมีผลกระทบกับการขับขี่ หรืออาจเป็นความเคยชินที่วางเท้าแบบนี้ตั้งแต่เริ่มแรกก็เลยไม่คิดจะเปลี่ยน ไม่รู้แหละเหตุผลของใครของมัน เอาเป็นว่ามาลองดูแล้วกันว่ามีอะไรบ้าง

X ปลายเท้าอยู่ใต้คันเกียร์/เบรก
ผลเสียที่จะเกิดขึ้นอย่างแรกเลยคือคุณจะไม่สามารถใช้เบรกหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะหากเท้าอยู่ในตำแหน่งดังกล่าว เมื่อคุณต้องการเบรกก็จะต้องเลื่อนเท้าออกจากตำแหน่งนั้นแล้วยกขึ้นมาไว้เหนือคันเบรก (นี่เสียเวลาไปแล้วหน่อยนึง) ณ จุดนี้เองเท้าจะ ”ลอย” อยู่เหนือเบรก ทำให้เราไม่สามารถกะน้ำหนักที่จะกดลงไปบนเบรกได้ว่าควรจะออกแรงมากน้อยเท่าไหร่ ข้ามมาดูเท้าที่อยู่ฝั่งเกียร์กันบ้าง โอเค..ตำแหน่งนี้บางคนอาจจะบอกว่าทำให้เปลี่ยนเกียร์ขึ้นได้เร็ว (เพราะเท้าอยู่ในตำแหน่งรองัดเกียร์แล้ว) แต่ผมถามหน่อย...ในการขี่ปกติ ระหว่างเปลี่ยนเกียร์ขึ้นเพื่อเพิ่มความเร็ว กับลดเกียร์ลงเพื่อลดความเร็ว อันไหนสำคัญกว่ากัน? สมมุติในกรณีที่เราจะต้องเชนจ์เกียร์ลงเพื่อลดความเร็ว (อย่างเช่นในกรณีขี่ลงเขา) หากเท้าอยู่ใต้คันเกียร์เราจะต้องเสียเวลายกเท้ามาไว้ข้างบน ที่สำคัญกว่านั้นในจังหวะที่ยกเท้า หากยกพลาดไปแตะโดนคันเกียร์เข้า (ซึ่งเจอบ่อย) แทนที่รถจะลดความเร็วลงกลับยิ่งพุ่งเร็วขึ้น ถึงนาทีนั้นก็ตัวใครตัวมันนะคร้าบบบบ...

X ปลายเท้าแบะออกด้านข้าง
ลองนั่งแยกขาแล้วแบะปลายเท้าออกจากกัน คุณจะหนีบเข่าชนกันไม่ได้!!! ดังนั้นหากนั่งแบะปลายเท้าออกด้านนอก คุณจะไม่สามารถนั่งหนีบถังน้ำมันได้ นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่หลายคนแม้พยายามจะนั่งหนีบถังแต่พอลืมตัวขาก็จะแบะทุกที สาเหตุเป็นเพราะวางเท้าไม่ถูกนี่แหละ ผลเสียก็อย่างที่เขียนไว้ในข้อ การนั่งแบะขาที่ได้อ่านไปแล้ว.

ส่วนข้อเสียอีกข้อนึงก็คือขณะเข้าโค้งหรือเลี้ยว ซึ่งรถจะต้องเอียงเข้าหาพื้น มีโอกาสสูงที่ปลายเท้าจะโดนพื้น ซึ่งค่อนข้างอันตรายสำหรับมือใหม่ เพราะอาจจะตกใจแล้วตั้งรถขึ้น ทำให้รถบานออกนอกไลน์แล้วเกิดการแหกโค้งได้

สำหรับปัญหาเรื่องปลายเท้าเนี่ยผมเคยเจอกับตัวเองคือ ผมวางส่วนปลายของเท้าบนคันเบรก/เกียร์ไม่ได้!!! เพราะเมื่อวางแล้วมันรู้สึกขัดๆ เกร็งๆ บริเวณข้อเท้า (ซึ่งผมเชื่อว่าน่าจะมีหลายคนเกิดปัญหานี้เหมือนผม) ก็เลยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยการวางปลายเท้าไว้ข้างล่างคันเบรก/เกียร์ ซึ่งมัน”ผิด”อย่างที่เราได้อ่านกันไปข้างบนแล้ว จริงๆแล้วสาเหตุของปัญหานี้คือ คันเบรก/เกียร์อยู่ในตำแหน่งที่สูงเกินไป... ทำให้เมื่อวางปลายเท้าบนคันเบรก/เกียร์ ปลายเท้าจึงอยู่ในลักษณะถูก “ดัน” ขึ้นจากตำแหน่งปกติ ทำให้ผู้ขี่รู้สึกขัดๆ หรือเกร็งที่ข้อเท้าเมื่อขี่ไปได้ระยะหนึ่ง วิธีแก้ง่ายๆ คือปรับตำแหน่งคันเบรก/เกียร์ ให้อยู่ในตำแหน่งที่เราวางเท้าอยู่ข้างบนแล้วรู้สึกปกติเหมือนเวลายืนตรง (เท้าทำมุม 90 องศากับขา) เพียงเท่านี้ปัญหาเท้าแบะ เท้าชี้ลงพื้นก็จะหายไป

เขียนมาซะยืดยาวสำหรับเรื่องท่านั่งคงต้องขอจบแค่นี้ก่อน ฝากไว้นิดนึงสำหรับผู้ที่เริ่มฝึกหรือมือใหม่ทุกท่านว่า... จริงๆแล้วสิ่งที่ผมเขียนเป็นเพียงแค่หลักคร่าวๆ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของคุณ แต่ในที่สุดแล้วท่านั่งของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปบ้างตามสรีระและความรู้สึกส่วนตัว เพราะท่านั่งที่ดีที่สุดคือท่าที่เรานั่งแล้วรู้สึกสบายและสามารถควบคุมรถได้ในทุกสถานะการณ์
เนื้อหาจาก   http://www.soryon.com/2.html